เด็กติดมือถือ 4
ผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กติดมือถือ
https://www.phyathai.com/th/article/3047-
ปัจจุบันพบว่าเด็กไทยมีอัตราการติดเกมชนิดที่จัดว่าเป็นโรคถึงขนาดที่ต้องบำบัดรักษาราว10-15% ด้วยเพราะเนื้อหาและรูปแบบของเกมที่สนุก ช่วยสร้างความสุขได้ดี
บวกกับเทคโนโลยีที่ทำให้สื่อต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและเข้าถึงง่าย
ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองควบคุมดูแลได้ยาก
หรือมักปล่อยให้เป็นความสุขของลูกเพราะตัดรำคาญที่จะเกิดปัญหาความขัดแย้งกับลูก
ท้ายที่สุดอาจส่งผลกระทบถึงสุขภาพ เพราะเมื่อลูกติดมือถือมากเกินไป
โดยเฉพาะหากมัวแต่เล่นแต่เกมมือถือก็อาจทำให้สมองฝ่อ และมีผลกระทบต่างๆ ตามมา
ดังนี้
- สุขภาพร่างกายผิดปกติ เด็กจะเริ่มมีอาการปวดศีรษะ ปวดตา ปวดต้นคอ
และปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ
บางรายถึงขั้นกล้ามเนื้อตาโดนทำลายจนต้องผ่าตัดรักษาก็มี
ในเด็กบางคนก็อาจเป็นโรคขาดสารอาหาร หรือโรคอ้วนที่เกิดจากการนั่งนิ่งๆ
ใช้แต่มือกดจอโทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลานานๆ รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดต่างๆ
ร่วมด้วย
- สมองเล็กลง
ขาดการพัฒนา ในทางการแพทย์พบว่าเด็กที่เล่นมือถือนานๆ
ติดต่อกัน 2 ชั่วโมง ต่อเนื่องกัน 2 ปี มีผลให้ขนาดของสมองบางส่วนเล็กลง ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากการสแกน MRI
อย่างชัดเจน ทำให้พัฒนาการของเชาว์ปัญญาไม่ดี เช่น
มีกระบวนการฝึกคิด การเรียนรู้และการแก้ปัญหาที่เชื่องช้า ไม่พัฒนาเท่าที่ควร
แถมเสี่ยงเป็นโรคสมาธิสั้นในเด็กได้อีกด้วย
- เข้าสังคมยาก ความสัมพันธ์ครอบครัวแย่
ทักษะการเข้าสังคมเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พบได้มากของเด็กกลุ่มนี้
เพราะได้สูญเสียเวลาไปกับการเล่นมือถือเป็นส่วนใหญ่
จนทำให้ขาดการพัฒนาทักษะในด้านนี้
และส่งผลกระทบอย่างมากในความสัมพันธ์ระดับครอบครัว
- อารมณ์รุนแรง
พฤติกรรมก้าวร้าว กรณีของเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี
มักพบปัญหาในลักษณะของการโวยวายที่รุนแรงกว่าเด็กทั่วไปที่ไม่ติดการเล่นมือถือ
และจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อโตขึ้น โดยเริ่มจากลักษณะการพูดที่ก้าวร้าว
การแสดงออกที่รุนแรงและมีสภาวะอารมณ์ที่ผิดปกติไป
ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าและวิตกกังวลได้ง่ายกว่าเด็กกลุ่มอื่น
4 อาการบ่งชี้ลูกติดมือถือหนัก ต้องบำบัดกับคุณหมอ
การที่ผู้ปกครองจะทราบได้ว่าลูกแค่เล่นมือถือในระดับทั่วไป
หรือเข้าขั้นติดหนักและควรเข้ารับการบำบัดจากคุณหมอนั้น
มีวิธีสังเกตพฤติกรรมอยู่ด้วยกัน 4 ข้อหลัก ได้แก่
- ไม่สนใจหรือเลิกทำกิจกรรม อื่นๆ ที่เคยชอบ
- ละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ ไม่สนใจเรียน
และกิจวัตรประจำวันอื่นๆ
- ควบคุมเวลาเล่นมือถือของตัวเองไม่ได้ และใช้เวลาในการเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ หลายชั่วโมงต่อวัน
- หงุดหงิด โมโหรุนแรง แสดงอาการก้าวร้าวและต่อต้านในหลายๆ
เรื่อง ไม่ใช่เฉพาะแค่การเล่นมือถือ
หลายคนอาจเข้าใจว่าลูกที่ติดมือถือหรือติดเกมจะมีอารมณ์โมโหและหงุดหงิดง่ายเฉพาะเวลาไม่ได้เล่นมือถือเท่านั้น
ซึ่งความจริงแล้ว อารมณ์โมโหรุนแรงจะกระจายไปยังเรื่องอื่นๆ
ในชีวิตประจำวันอย่างเห็นได้ชัด รุนแรงที่สุดคือ
เด็กอาจทำลายข้าวของและขว้างปาสิ่งของ สามารถทำร้ายหรือชกต่อยพ่อแม่โดยไม่รู้สึกผิด
เพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แม้จะเกิดปัญหาเพียงเล็กน้อยก็ตาม
พ่อแม่คือหัวใจสำคัญ
ช่วยปรับพฤติกรรมลูก
ผู้ปกครอง หรือพ่อแม่มักเข้าใจว่าการเล่นเกมถือเป็นเรื่องปกติตามวัยของเด็ก
แต่หากการเล่นเหล่านั้นขาดวิธีควบคุมที่ดีและเหมาะสม
อาจส่งผลให้เกิดปัญหากับเด็กโดยตรงในระยะยาวได้
โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่จะเริ่มมีปัจจัยอื่นๆ เข้ามา เช่น
ความเครียดจากการเรียนและภาวะฮอร์โมน ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขั้นตอนการบำบัดรักษาคือ
แพทย์จะทำการประเมินพฤติกรรมเด็กจากการพูดคุยกับผู้ปกครองหรือตัวเด็กเอง
ร่วมกับการประเมินความพร้อม และความอดทนของพ่อแม่ประกอบเข้าด้วยกัน
ก่อนจะให้คำแนะนำหลักการเปลี่ยนพฤติกรรมให้เด็กอย่างเข้าใจ ดังนี้
- กำหนดเวลาเล่นมือถือให้ชัดเจน ซึ่งรวมถึงการใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) ทั้งหมดรวมกัน
ควรกำหนดเวลาการเล่นในวันธรรมดาที่ 1 ชั่วโมง
และวันเสาร์อาทิตย์ไม่เกิน 2 ชั่วโมง (ช่วงเวลาใดก็ได้)
แต่ต้องเล่นภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น
- เลือกประเภทเกมที่เหมาะสม เด็กที่อายุต่ำกว่า
3 ปีแพทย์ยังไม่แนะนำให้เล่นคอมพิวเตอร์ มือถือ
หรือแท็บเลตทุกชนิด เด็กอายุ 3-6 ปี
ควรเล่นเกมหรือดูรายการที่เน้นส่งเสริมพัฒนาการและการศึกษา ส่วนเด็กอายุ 6
ปีขึ้นไป ควรเลือกเกมที่ไม่มีความรุนแรงมาก
เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้เด็กก้าวร้าวและชินชากับเรื่องรุนแรง
เพราะเป็นสิ่งที่เด็กเห็นและทำอยู่ในเกมทุกวัน วันละหลายๆ รอบ
ส่งผลให้กลายเป็นคนมีพฤติกรรมรุนแรงได้ในอนาคต
- สร้างกิจกรรมทดแทน
สภาวะความเครียด แรงกดดันจากสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงต่างๆ
บวกกับกลุ่มเพื่อนที่เล่นเกมอยู่เดิมแล้ว
ทำให้เด็กหันไประบายออกทางเกมได้ง่ายขึ้น
ผู้ปกครองหรือพ่อแม่ควรจัดหากิจกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทน เช่น จัดทริปเที่ยว
ทำอาหาร หรือออกกำลังกายร่วมกัน ไม่ควรสั่งห้ามแบบทันทีทันใด
พร้อมเฝ้าสังเกตอารมณ์และพฤติกรรมของเด็กอย่างใกล้ชิด
- สานความสัมพันธ์ดีๆ ไม่ใช่ตามใจ สมาชิกในครอบครัวถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การบำบัดสมบูรณ์แบบ
ควรหลีกเลี่ยงการพูดจารุนแรง ด่าว่าหรือใช้คำพูดเชิงลบ
เน้นคำพูดเชิงบวกและหากิจกรรมทำร่วมกัน ฝึกให้ลูกมีสังคมร่วมกับผู้อื่น
และให้คำชมเมื่อลูกทำสิ่งดีๆ เพื่อสร้างความรู้สึกภูมิใจให้เด็กทำสิ่งเหล่านั้นต่อไป
การรักษาอาการติดมือถือของลูกจำเป็นต้องดูแลกันในระยะยาว เพราะโอกาสที่ลูกจะกลับไปติดเกมซ้ำยังคงมีอยู่ ผู้ปกครองหรือพ่อแม่จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก โดยไม่ลืมที่จะทำความเข้าใจซึ่งกันและกันตลอดเวลา เพื่อลดโอกาสการกลับไปติดมือถือหรือติดเกมในอนาคต หากรู้สึกว่าการแก้ปัญหาด้วยตนเองไม่ได้ผล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะแน่ใจว่าลูกไม่มีพฤติกรรมติดเกมแล้ว
นพ. ธีรนันท์ มิตรภานนท์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น
ศูนย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพญาไท 1
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น